Home

“พายุไซโคลนนาร์กีส(Nargis) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศพม่าแล้ว มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากได้ในบางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัย สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันมีกำลังแรง ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะนี้ ”

นี่เป็นประกาศคำเตือนสุดท้ายที่พวกเราได้รับรู้ก่อนที่จะมุ่งหน้าลงใต้เพื่อไปเยี่ยมเยือนกระบี่ เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกผมได้นำพาคณะกว่าสามร้อยกว่าชีวิตไปลอยฝ่าพายุอยู่กลางทะเล

สี่วันก่อนหน้านั้นผมอยู่กับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เพื่อฟังท่านปาถกฐาในงานเปิดตัวโครงการร่วมรณรงค์เพื่อโลกร้อนของบริษัทฯ เป็นวันที่ฟ้าอากาศแปรปรวน ฝนตกพอประมาณ

เหมือนกับทุกครั้งที่เราฟังเรื่องโลกร้อน พวกเราตระหนักว่าโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัวและใกล้เข้ามาประชิดเข้ามาทุกทีๆ

ท่านกล่าวเป็นนัยว่า การช่วยโลกต้องทำด้วยใจสะอาดไม่ใช่เห่อทำตามกระแส ยิ่งในฐานะบริษัทอย่าฉกฉวยโอกาศเพื่อประชาสัมพันธ์เพียงฉาบหน้า

หนึ่งวันก่อนหน้า สิ่งที่ผมค่อนข้างเป็นห่วงมากที่สุดคือเรื่องฟ้าฝน โดยพยายามบอกผู้ดำเนินงานทุกคนให้หาทางลดความเสียหายให้น้อยที่สุด อย่างน้อย ผมส่ง e-mail คำเตือนสุดท้ายจากทุกหน่วยงานที่ทำเรื่องพยากรณ์อากาศไม่ว่าของไทยหรือต่างประเทศ ว่าเราคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงฝนได้แน่นอน T-storm ที่จะมีฝน 90% ของพื้นที่ แต่ไม่คิดว่าพายุที่เกิดขึ้นมันจะรุนแรงถึงเพียงนี้

ผมค่อนข้างเป็นห่วงกับการพาพนักงานหกร้อยกว่าชีวิตไปในครั้งนี้มาก แม้เราจะใช้บริษัททัวร์เป็นออกาไนเซอร์ แต่งานก็ยังมากมายอยู่ดีเพราะการทำทัวร์มีแต่เสมอตัวกับโดนด่าเท่านั้น
เริ่มจากงาน pre-production มีปัญหาหลากหลายมาก จนผมท้อใจถอนตัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่งด้วยความไม่ลงรอยของการจัดการ ไม่มีใครผิด แต่ด้วยวิถีทางเพื่อที่จะดึงผลลัพภ์รวมให้ดีที่สุด ผมจึงต้องกลับมาช่วย แม้สุดท้ายส่วนที่เสียไปแล้วจะไม่สามารถแก้ได้หากไม่วางแผนที่ดีตั้งแต่ต้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำคนหกร้อยคนไปเมืองเล็กๆอย่างกระบี่ที่มีปัญหาจิปาถะให้ดูแล เริ่มตั้งแต่การวางแผนแบ่งจำนวนคนหมุนเวียนสลับวันรวมถึงหมุนเวียนไปสถานที่ต่างๆเพราะสถานที่เที่ยวไม่สามารถรองรับคนได้เพียงพอ สิ่งที่ต้องจัดการเพิ่มเติมคือการวางแผนด้านเวลา และอยากขอชมแผนของบริษัทออแกไนเซอร์ที่วางแผนปะติดประต่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวได้เก่งมาก เป็นสิ่งที่ดีที่เราให้โอกาสบริษัททัวร์ได้เติบโตและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากขึ้น ดีกว่าการปล่อยให้มีบริษัททัวร์เก่งๆเพียงบริษัทเดียวได้ทำตลาดซึ่งจะทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมดีขึ้นไม่ใช่ Dog Eat Dog Competition

ใครๆก็รู้ว่าการไปเที่ยวทัวร์นั้นไม่สนุกโดยเฉพาะกรุปใหญ่มาก ยิ่งเป็นผู้จัดการแล้วไม่ใช้เรื่องที่น่าสนุกเลยไม่ว่าวางแผนหรือตอนหน้างาน การประสานงานและซักซ้อมความเข้าใจ การมี decenterized และเคารพงานของแต่ส่วน การสื่อสาร และการเก็บตกรายละเอียด ทั้งหมดดูจะเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดของการดูแลมวลชน
ทริปใหญ่นั้น มีทางเลือกไม่มาก เที่ยวได้น้อย ทำให้ทริปนี้ไม่สามารถไปดูสถานที่ได้ทั้งหมด ยิ่งถ่ายรูปด้วยแล้ว ไม่สามารถหามุมและรอถ่ายรูปได้เลย

สิ่งที่กังวลที่สุดคือเรื่องฟ้าฝนไม่เป็นใจก็มาเยือนพวกเราจริงๆ
คณะครึ่งหนึ่งออกเรือไปเพื่อดูทะเลแหวก เมฆก้อนทะมึนลอยล่องอยู่เหนือทะเล ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ฝนเริ่มเทลงมา ลมที่พัดฝนแทบขนานกับพื้นท้องทะเลขณะที่เรือสปีดโบ๊ตสวนไปในทางตรงข้าม ความรู้สึกหน้าเรือคือเหมือนมีเข็มมากมายวิ่งเข้ามาทิ่มแทง ไม่ต้องบอก พายุเกิดขึ้นแล้ว
ทุกคนไม่ว่าใครหรือผู้บริหารระดับสูงต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือ อยู่ท่ามกลางพายุฝนและเปียกปอนหมดทั้งตัว แม้เรือเข้ามาจอดใกล้บริเวณทะเลแหวกที่เริ่มเห็นสันทรายรำไร บริเวณนั้น เม็ดฝนโปรยปรายลงบนคลื่นสูงที่แตกฟองคลื่น ภาพนั้นดูรุนแรงแต่สวยงาม ซึ่งเก็บภาพนั้นไว้ได้แต่ตาเท่านั้น
ขณะที่กำลังรอทะเลกำลังจะแหวก ขบวนเรือต้องมุ่งหน้ากลับหาดนพรัตน์ธาราโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไม จนอยู่กลางทะเลเวิ้งว้างจึงรู้ว่าคลื่นที่ค่อยๆสูงขึ้นตามลำดับ จากเมตรกว่าขึ้นเป็นเกือบสองเมตร ฟองคลื่นที่แตกออกมาเป็นฝอยมองเห็นแต่ไกลเป็นสัญญาณของท้องทะเลพิโรธ พายุโหมแรงกระพือขึ้นเรื่อย กระแสน้ำและคลื่นไร้ทิศทาง การขับเรือเป็นด้วยความยากยิ่ง อย่างน้อยเรือของผมก็สไลด์คลื่นไปสองครั้ง หากกลับช้ากว่านี้คลื่นอาจสูงขึ้นจนไม่สามารถออกเรือได้เลย และเราจะติดอยู่กลางทะเล

เรือหางยาวที่มีแต่คนเรืออยู่กลางทะเลกำลังจะพลิกคว่ำ เป็นภาพที่น่าสงสาร อย่างน้อยเป็นเพราะคณะเราเองที่เหมาสปีดโบ๊ททั้งหมดของจังหวัด ทำให้นักท่องเที่ยวคนอื่นต้องใช้เรือหางยาวในวันที่ท้องทะเลพิโรธ

มีเรือหนึ่งลำในคณะที่เอามาจากจังหวัดอื่นไม่ชินสถานที่ไม่รู้ทิศทางกลับ ความเป็นห่วงในความโกลาหลเกิดขึ้นมากมาย นอกจากท้องทะลจะปั่นป่วนแล้ว ในใจของคณะกรรมการจัดทริปก็ปั่นป่วนไปด้วย ด้วยความรับผิดชอบนั้นที่มี แต่ตอนนั้นต้องยกให้บริษัททัวร์เป็นผู้จัดการแก้ไขปัญหาทั้งหมดก่อน ท่ามกลางความอลหม่านต้องยกให้คนๆเดียวเป็นศูนย์กลางห้ามแทรกแซง

จนกระทั่งที่ทุกคนกลับมาแล้วและได้รับรู้ว่าพายุนาร์กีซได้ซัดถล่มพม่าจนเกิดหายนะครั้งร้ายแรงที่สุด คนตายหลายหมื่นคน เป็นข่าวที่น่าสลดใจเป็นอย่างมาก และโล่งใจเป็นอย่างมากที่เราได้เข้าไปในปลายหางอิทธิพลของพายุลูกนี้และกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากหลายตัวแปรทางอากาศ ร่องความกดอากาศต่ำ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้และพายุหมุนเขตร้อน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราได้รับอยู่เสมอ แต่ทุกๆปีความรุนแรงกลับมีมากขึ้น รูปแบบที่เคยมีเปลี่ยนไป ครั้งนี้ไม่ต้องสังเกตแต่รับรู้ได้จากรูขุมขนตัวเอง

เหมือนที่ ดร. สุเมธกล่าว เราในฐานะทุกคนของบริษัทได้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อนได้ดีมากขึ้น ไม่ใช่เข้าใกล้ แต่พวกเราได้เข้าไปสัมผัสถึงหายนะที่เกิดขึ้นจริงๆ อย่างน้อยผมเชื่อได้เลยว่า ท่ามกลางพายุที่เราฝ่ามา นอกจากจะรักชีวิตมากขึ้น ทุกคนคงนึกถึงเรื่องโลกร้อนได้ถ่องแท้มากขึ้น วันที่ทุกคนคงคิดอะไรมากขึ้นถึงการมีส่วนร่วมช่วยโลก ไม่ใช่เป็นไปตามกระแส

แต่ด้วยความสำนึกรักโลก …อย่างแท้จริง

ระยะเวลา : 3 วัน 3 คืน
ค่าใช้จ่าย : 0 บาท
ทำไมถูก : บริษัทออกให้นิครับ ฟรีๆ!! แต่ต้องลงแรงเป็นกรรมการ
ทำไมแพง : ราคาจริงแพงนะครับ แต่ confidential
ความสนุก : ประสบการณ์ที่ได้มาคุ้มครับ แต่ต้องกลับมาซ่อมแน่ๆเพราะเหมือนยังมาไม่ถึง นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมที่ผมไม่ทำทัวร์แบบที่ใครแนะนำให้ทำ ผมไม่ชอบ ผมชอบเที่ยว แต่การทำทัวร์กับเที่ยวไม่เหมือนกัน ได้เหยียบที่ใหม่ๆแปลกๆเหมือนกัน แต่แรงเหยียบที่ลงไปความรับผิดชอบไม่เหมือนกันครับ

จำนวนครั้งที่มา : 1 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อ : 3/5/2008
สถานที่ที่ไปแล้ว : น้ำตกร้อน Unseen, สระมรกต Unseen และสระน้ำผุด, ถ้ำเสือเขาแก้ว, สุสานหอย, เกาะปอดะ, ทะเลแหวก Unseen (เกาะทัพ-หม้อ-ไก่ อยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี ) – ต้องซ่อม, ถ้ำพระนาง, เขาขนาบน้ำ
สถานที่ที่ยังไม่ได้ไป : ท่าปอมคลองสองน้ำ, อ่าวนาง, หาดไร่เล (ปีนผา)
สถานที่ที่ไม่คิดจะไป : –
สถานที่ตั้ง : จ.กระบี่
ถ่ายด้วย : Canon 350D + Kits

Leave a comment